บทสัมภาษณ์ โรเบิร์ต คิโยซากิ ผู้เขียน พ่อรวยสอนลูก

สิ่งที่คุณกำลังจะได้รับทราบต่อไปนี้ เป็นการสัมภาษณ์พิเศษของนักธุรกิจผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินที่มีชื่อเสียง นักลงทุน ผู้บรรยาย และผู้แต่งหนังสือขายดีที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกถึง 10 เล่ม "โรเบิร์ต คิโยซากิ" เกิดและเติบโตในฮาวาย เขาเรียนรู้ธุรกิจจากคน 2 คน คนแรกคือพ่อจนผู้ซึ่งมีความรู้สูง เป็นข้าราชการเงินเดือนสูงและเป็นพ่อแท้ ๆ ของเขาเอง และอีกคนหนึ่งคือ พ่อรวย เป็นนักธุรกิจร้อยล้าน ซึ่งออกจากโรงเรียนตั้งแต่ชั้นมัธยมสองเท่านั้น เป็นพ่อของเพื่อนสนิทของเขาเอง

ประสบการณ์ปัญหาด้านการเงินตลอดชีวิตของพ่อจน ทำให้คำสอนพ่อรวยของโรเบิร์ต ถูกสนับสนุนมากยิ่งขึ้น ที่ว่า “คนจนและคนชั้นกลางทำงานเพื่อเงิน ในขณะที่คนรวยใช้เงินทำงาน” หลังจากที่เขาประสบความสำเร็จเป็นนักขายที่มียอดการขายสูงอันดับหนึ่งในบริษัท XEROX โรเบิร์ตเริ่มต้นทำตามความปรารถนาของเขาที่จะมีอิสรภาพทางการเงิน เขาเริ่มสร้างธุรกิจข้ามชาติมูลค่าเป็นล้านๆ เหรียญสหรัฐอยู่หลายธุรกิจ และท้ายที่สุดก็สามารถเกษียณอายุได้ด้วยอายุเพียง 47 ปี เขาต้องการทำตามความเชื่อของเขาที่ความปรารถนาจะสอนผู้อื่นให้เป็นผู้ร่ำรวย และสามารถค้นหาธุรกิจที่พวกเขาต้องการได้

  • ในปี 1997 (พ.ศ. 2540) โรเบิร์ตได้เขียนหนังสือขายดี โด่งดังไปทั่วโลกเล่มแรก ชื่อพ่อรวยสอนลูก (Rich Dad Poor Dad) และได้ออกแบบเกมกระแสเงินสด (Cashflow 101 หรือเกมส์แข่งหนู)


  • J.P. Morgan นักข่าวหนังสือพิมพ์ Wall Street Journal ได้พูดถึงหนังสือ พ่อรวยสอนลูกว่า “เป็นหนังสือที่ต้องอ่านสำหรับผู้ต้องการเป็นเศรษฐี”


  • และหนังสือพิมพ์ USA. Today เรียกหนังสือนี้ว่า เป็นจุดเริ่มต้นของทุกคน ที่ต้องการควบคุมสถานการณ์ทางการเงินในอนาคตของเขาเอง”



    • โรเบิร์ต ได้เขียนหนังสือ Rich Dad’s Cash Flow Quadrant (พ่อรวยสอนลูก เล่ม2 เงินสี่ด้าน) , Rich Dad’s Guide To Investing (พ่อรวยสอนลงทุน), Rich Kid Smart Kid (สอนลูกให้รวย) หนังสือที่ขายดีในทุกประเทศ และที่กำลังออกมาใหม่ล่าสุด Retired Young Retired Rich “เกษียณเมื่อหนุ่ม เกษียณอย่างร่ำรวย” ข้อเสนอแนะของโรเบิร์ตชัดเจนเข้าใจง่ายนั้นคือ คุณจะยอมรับผิดชอบต่อสถานการณ์ทางการเงินของคุณเองหรือจะยอมรับคำสั่งของคนอื่นๆไปตลอดชีวิต “คุณต้องการที่จะเป็นเจ้านายของเงิน หรือจะยอมเป็นทาสของเงิน” และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาให้สัมภาษณ์พิเศษ เสนอทางเลือกของเขาในการที่จะเกษียณขณะที่ยังหนุ่มและเกษียณอย่างร่ำรวย

      ผู้สัมภาษณ์: คุณโรเบิร์ต ขอบคุณมากครับที่ให้เกียรติในวันนี้ เป็นที่กระจ่างชัดว่ามีคนเป็นล้านๆ คน ได้รับความรู้และประโยชน์ จากหนังสือและเทปของคุณ แต่สำหรับคนที่ไม่ได้อ่าน “พ่อรวยสอนลูก” “เงินสี่ด้าน” หรือ “Cash Flow Quadrant” ขอให้คุณกรุณาช่วยอธิบายเกี่ยวกับเงินสี่ด้าน Cash Flow Quadrant ว่าคืออะไรสักเล็กน้อยได้ไหมครับ?

      ผมอยากให้ท่านผู้ฟังทุกท่านลองนึกวาดภาพตามดังนี้นะครับ สัญลักษณ์เครื่องหมายกากบาท มุมบนด้านซ้าย คือตัวอักษร E ใต้ลงมาคือ S มุมขวาด้านบน คือ B และมุมที่เหลือ คือ I คุณโรเบิร์ตช่วยกรุณาอธิบายได้ไหมครับว่ามันหมายถึงอะไรครับ?

      โรเบิร์ต: ลำดับแรก

      E หมายถึง Employee ลูกจ้าง
      S หมายถึง Self Employ/Small Business ธุรกิจส่วนตัว
      B หมายถึง Business Owner/Big Business เจ้าของกิจการ เช่น ไมโครซอฟ, อินเทล และ
      I หมายถึง Investor นักลงทุน


      พ่อจนของผมและคนส่วนใหญ่ได้ถูกสอนมาให้ “ไปเรียนหนังสือ และออกมาหางานทำ” พ่อจนของผมได้โปรแกรมผมให้อยู่ด้าน E หางานที่มั่นคง ทำงานหนัก เพื่อเงินบำนาญ สวัสดิการ

      S หมายถึง Small Business หรือ Self Employed ธุรกิจส่วนตัว ส่วนใหญ่จะเป็นอาชีพ แพทย์ นักกฎหมาย ทนายความ หรือ นักธุรกิจขนาดเล็กที่พอใจที่จะเป็นเจ้านายตัวเอง ต้องการทำอะไรด้วยตัวเอง เช่นที่ Dale แห่งบริษัทคอมพิวเตอร์เดล พูดว่า “ถ้าคุณต้องการทำอะไรให้ถูกต้องเสมอ คุณต้องทำด้วยตัวของคุณเอง” และคนส่วนนี้ก็จะกลายเป็น S พวกเขาต้องการอิสระ

      ธุรกิจขนาดใหญ่จะอยู่ทางด้าน B นักธุรกิจขนาดใหญ่ๆ เช่น Bill Gate ผู้ก่อตั้งธุรกิจขนาดยักษ์หลายล้านๆ เหรียญสหรัฐเป็นธุรกิจนานาชาติ ซึ่งก็มีไม่กี่คนที่เป็นคนร่ำรวยระดับโลกแบบนี้ คนร่ำรวยระดับโลกจะมาจากด้าน B คุณไม่มีทางเป็นคนร่ำรวยได้ถ้าคุณยังอยู่ด้าน E และ S

      ส่วนด้าน I คือ Investor นักลงทุน จะมาได้จากการใช้เงินทำงานให้เขาเท่านั้น พ่อจนและแม่จนของผมอบรมให้ผมกลายเป็น E และ S และระบบการสอนในโรงเรียนก็สอนผมให้กลายเป็น E และ S มุ่งสู่การหางานที่มั่นคงและปลอดภัย ด้าน B และ I เป็นด้านสำหรับคนรวย พ่อรวยของผมพูดว่า “ถ้าเธอต้องการร่ำรวย ต้องสร้างธุรกิจของเธอเอง”

      ผู้สัมภาษณ์: และสิ่งที่คุณพูดในหนังสือที่กล่าวว่าเมื่อคนส่วนใหญ่ที่อยู่ในด้น E เริ่มสร้างธุรกิจของเขาเอง ก็มักจะเริ่มต้นจากด้าน S เช่นสร้างธุรกิจขนาดย่อม อาจจะเป็นผู้รับเหมาช่วง รับงานเสริมต่างๆ การกระทำอย่างนั้นถูกต้องหรือไม่ครับ?

      โรเบิร์ต: มันไม่มีถูกหรือผิดหรอกครับ แต่ว่าเมื่อหลายคนเริ่มพูดว่า “ผมต้องการทำอะไรที่เป็นของตัวเอง” พวกขาก็จะเริ่มโยกย้ายตัวเองจากด้าน E และก้าวสู่ด้าน S และมันก็จะเข้าสู่วัฎจักรที่ไม่มีวันจบในความเห็นของผม เพราะว่าทุกคนจะต้องพึ่งคุณ รัฐบาลก็ต้องพึ่งภาษีจากการทำงานของคุณ ลูกจ้างก็ต้องพึ่งพาคุณ และแล้วคุณก็จะไม่มีเวลาว่างเลย เพราะว่าถ้าคุณไม่ทำงานรายได้ก็หยุด นี่เป็นส่วนที่ยากที่สุดและนี่เป็นสิ่งที่ธุรกิจขนาดย่อมทั้งในสหรัฐอเมริกาและทุกแห่งในโลกต้องเผชิญอยู่ เจ้าของธุรกิจส่วนตัวต้องทำงานเสมือนเครื่องจักร และก็พบว่ามีไม่กี่คนที่สามารถร่ำรวยได้จากด้านนี้ แต่พวกเขาต้องทำงาน ทำงาน แล้วก็ทำงาน นี่เป็นจุดที่ S แตกต่างจาก B เพราะเมื่อไรที่ S นักธุรกิจขนาดย่อมหยุดทำงาน รายได้ก็หยุดไปด้วย แต่ขณะที่นักธุรกิจในด้าน B หยุดทำงาน รายได้เขายังคงไหลมาอย่างต่อเนื่อง และด้านไหนล่ะที่ดีกว่ากัน ผมคิดว่าด้าน B เนี่ยแหละยอดเยี่ยมทีเดียว

      พ่อรวยอบรมผมให้อยู่ด้าน B และ I ท่านสอนผมให้เป็น B และ I โดยการเล่มเกมเศรษฐีที่มีสูตรในเกมที่เรารู้จักกันดี คือ บ้านสีเขียว 4 หลัง เท่ากับ 1 โรงแรมสีแดง , บ้านสีเขียว 1 หลัง เท่ากับ 1 โรงแรมสีแดง ดังนั้นมันจึงชี้ให้เห็นมุมมองที่แตกต่างกันกับคนที่กำลังมองหาการเปลี่ยนแปลง มุมมองของการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างกันอย่างมาก

      ผู้สัมภาษณ์: ในความเห็นของคุณอะไรคือสิ่งที่ทำให้คนส่วนใหญ่หยุดความคิดที่จะเริ่มทำธุรกิจในด้าน B จริงๆ ครับ?

      โรเบิร์ต: ปัญหาก็คือ คนส่วนใหญ่ไม่สามารถที่จะสร้างมันได้เพราะคุณต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5 ถึง 10 ปี ในการสร้างธุรกิจแบบ B ซักหนึ่งตัว และสถิติความล้มเหลวก็สูงมากถึง 90% ใน 5 ปีแรก และการสร้างธุรกิจแบบ B ปัจจุบันต้องใช้เงินทุนสูงถึง 5 ล้านเหรียญต่อปี เพียงแค่สร้างมันเท่านั้นนะครับ และถ้าคุณล้มเหลวคุณก็จะเป็นหนี้มหาศาล เป็นสาเหตุที่หลายๆ คนล้มละลาย และผมเองก็เจ๊งถึง 2 ครั้ง ถึงกับล้มละลายทำให้เสียหายหลายล้านเหรียญ หลายๆ ครั้งผมต้องใช้เวลาถึง 10 ปี จึงจะเริ่มรับเงินเป็นผลกำไร คนส่วนใหญ่ในด้าน E และ S ไม่สามารถรับกับสภาวการณ์ทางการเงิน ทั้งทางด้านอารมณ์ และ ความคิด แล้วพวกเขาก็ไม่รู้วิธีการเข้าสู่ด้าน I การเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แบบนักลงทุนที่ถูกต้องแบบที่ผมได้รับการฝึกฝนมา

      ดังนั้น ถ้าคุณต้องการสร้างธุรกิจของคุณมีทางหนึ่ง คือ คิดสร้างระบบของคุณขึ้นมาเอง ซึ่งผมก็ได้พยายามหลายครั้ง ผมมีโรงงาน บริษัทอสังหาริมทรัพย์ เหมืองแร่ บริษัทน้ำมัน ผมถูกฝึกมาให้ทำธุรกิจแบบนั้น แต่ถ้าคุณไม่มีความรู้แบบนั้น คุณก็สามารถเริ่มธุรกิจแฟรนไชน์เหมือน Mc Donald เป็นแฟรนไชน์ที่ดี แต่ปัญหาก็ คือ คุณต้องใช้เงินหลายล้านเหรียญเช่นกันในการเริ่มธุรกิจ และก็ยังไม่สามารถสร้างรายได้ให้กับคุณในช่วง 2 ปีแรก

      แต่มีทางเลือกที่สาม ที่ผมคิดว่าเป็นความได้เปรียบทางด้านข้อมูลข่าวสาร ทำให้คุณก้าวสู่ด้าน B ได้นั้น คือ การตลาดเครือข่าย หรือ Network Marketing หลายคนมีความคิดลบๆ กับธุรกิจนี้และในความเป็นจริงผมก็ไม่ได้ทำธุรกิจเครือข่าย หลายคนมีความคิดลบๆ กับคำว่า การตลาดเครือข่าย นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่เข้าใจว่าการตลาดเครือข่ายที่แท้จริงคืออะไร คนรวยทั้งหลายในโลกนี้ล้วนสร้างเครือข่ายทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น เครือข่ายโทรทัศน์ คนรวยของโลกเป็นเจ้าของเครือข่ายสถานีโทรทัศน์ (อาทิ เจ้าของ CNN), โทรศัพท์เครือข่าย เป็นเครือข่ายสถานีบริการโทรศัพท์ที่ให้บริการไปทั่วโลก พ่อรวยเคยพูดกับผมว่า “คนรวยสร้างเครือข่าย ในขณะที่คนทั่วไปมองหางานทำ” ทั้งนี้มันก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณได้รับการฝึกฝนมา การตลาดเครือข่ายในมุมมองของผมเป็นหนทางที่ชาญฉลาดมาก สำหรับคนที่มีทุนน้อย และคุณอาจใช้เวลาซัก 5 ปีด้วยเงินลงทุนเพียงเล็กน้อย ในการเริ่มต้นสร้างทรัพย์สินขนาดใหญ่ ซึ่งจะทำให้คุณมีอิสรภาพด้านการเงินได้ ปัญหาก็คือ คนส่วนใหญ่ไม่ให้เวลานานเพียงพอต่อธุรกิจนี้ พวกเขาไม่มีการตัดสินใจ ความมุ่งมั่นศรัทธาที่จะยึดมั่นอยู่กับธุรกิจ แถมยังมีเพื่อนหรือคนที่รู้จักที่มีแต่ความคิดลบๆ ต่อการตลาดเครือข่าย ผมต้องขอย้ำอีกครั้งว่า ผมไม่ได้สร้างรายได้จากธุรกิจการตลาดเครือข่าย ผมสร้างระบบธุรกิจของผมเอง

      ผมเคยมีความคิดลบ ๆ เช่นกัน จนกระทั่งผมได้คิดใคร่ครวญ และเริ่มเปิดใจศึกษา เปลี่ยนมุมมองที่ต่างออกไป และฟังข้อมูลจากเพื่อนผมที่เป็น CEO (Chef Executive Officer/หัวหน้าฝ่ายบริหารสูงสุด) และก็เริ่มเห็นคุณค่าของการตลาดเครือข่ายอย่างแท้จริง การตลาดเครือข่าย คือ ช่องทางให้คนทั่วไปผู้ซึ่งไม่มีเงินลงทุนมากนัก ทั้งยังสามารถทำงานปัจจุบันช่วงกลางวัน แล้วก็ใช้เวลาหลังเลิกงานสร้างทรัพย์สินที่ทำให้พวกเขามีอิสรภาพได้

      ผู้สัมภาษณ์: ผมไม่คิดว่าคนส่วนใหญ่ทั่วไปจะคิดว่าการตลาดเครือข่าย คือธุรกิจที่แท้จริง

      โรเบิร์ต: แล้วคนที่อยู่ด้าน E กับ S ทั่วไปรู้จักธุรกิจที่แท้จริง ได้อย่างไร ? พวกเขาเป็นลูกจ้าง หรือติดอยู่กับงานที่เขาต้องทำมันอยู่ทุกวันเป็นธุรกิจส่วนตัว ผมต้องขออธิบายอะไรบางอย่างก่อน ที่ผมจะตอบคำถามต่อไปว่า เหตุผลอะไรที่ผมมาให้สัมภาษณ์บันทึกเทปนี้กับคุณเพราะผมต้องการที่จะพูดคุยเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงที่ผมเห็นว่ามันกำลังเกิดขึ้น และทำไมคุณถึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง

      ทุกวันนี้ผมได้ยินคนหลายคน พูดว่า
      “เมื่อไหร่เราจะกลับสู่ภาวะปกติเสียทีนะ”

      ผมอยากจะถามพวกคุณว่า
      “สภาวะปกตินั้นคืออะไร”

      คุณรู้ใช่ไหมว่าผมหมายถึงอะไร คุณกำลังพูด “บ้าอะไร” ผมพยายามที่จะพูดกับคุณทุกคนว่า “ทุกวันนี้โลกของเราเปลี่ยนไปแล้ว” เหตุผลที่เปลี่ยนไปก็ธรรมดามากๆ เพราะเรายอมให้คนที่อำนาจเหนือคุณเที่ยวสั่งคนนู้นคนนี้ไปทั่ว ผมต้องการอิสรภาพของผม เหตุที่ผมต้องการมาอยู่ด้าน B เพราะว่า ผมสู้เพื่ออิสรภาพของผม สู้เพื่อจิตวิญญาณของผม แล้วคำว่า “อิสรภาพ” ในความหมายของผม คืออะไรผม หมายถึง การมีทางเลือกที่มากขึ้น ถ้าคุณอยู่ในด้าน E และ S คุณต้องยอมเสียอิสรภาพหลายๆ อย่าง ผม หมายถึงว่า ถ้าคุณเป็น E ก็จะมีคนอื่นๆ เป็นผู้กำหนดว่า “คุณควรมีรายได้เท่าไหร่? คุณต้องมาทำงานกี่โมง? เมื่อไหร่ที่คุณจะได้พัก? เมื่อไหร่คุณจะได้ทานอาหารกลางวัน? เมื่อไหร่คุณถึงจะกลับบ้านได้? เมื่อไหร่คุณจะได้ขึ้นเงินเดือน? หรือ ค่าจ้าง? และที่เลวร้ายที่สุด สำหรับแนวคิดการหางานทำงานที่มั่นคงทุกวันนี้ก็คือ ถ้าหากว่าบริษัทเกิดบริหารงานผิดพลาด เกิดมีปัญหาขึ้นมาเขาก็จะลดขนาดขององค์กรลง ปลดคุณออก แล้วคุณจะทำอย่างไร

      เมื่อคุณมองโลกทุกวันนี้ โลกของเราเต็มไปด้วยคนที่มีอำนาจเหนือคุณ และถ้าคุณมองให้ดีๆ ไม่ต้องมองไกลหรอก ผมพบเหตุการณ์เหล่านี้ในโลกธุรกิจทุกวัน ผมพบว่ามีคนพยายามผลักดัน กดดันผมตลอดเวลา สาเหตุหลักที่ผมต้องการอยู่ด้าน B เพราะผมไม่ต้องการถูกกดดันให้ทำโน่น ทำนี่ โดยคนอื่น ผมไม่ต้องการให้ใครมากำหนด ว่าผมควรมีรายได้เท่าไหร่? หรือ มาบอกผมว่า “พรุ่งนี้ผมยังคงมีงานทำอยู่หรือไม่”

      สิ่งที่ผมไปรบที่สงครามเวียดนามคือ เพื่ออิสรภาพ และ อิสรภาพต้องการความกล้า มันต้องการความแข็งแกร่ง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ ผมเห็นหลายคนอ่อนแอลงทุกที พวกเขาพร่ำบ่นว่า “โอ้พระเจ้า เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้นะ” และพวกเขาก็อ่อนแอลงทุกที แล้วคุณก็จะถูกทิ้งอยู่ข้างหลัง ทุกวันนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องแข็งแกร่งขึ้น

      สิ่งหนึ่งที่ทั้งพ่อและแม่ผมสอนเสมอก็คือ ต้องเข้มแข็ง ไม่ใช่เป็นคนที่หินหรือเขี้ยว และอย่าทำตัวเป็นเด็ก เที่ยวชกต่อยกับเด็กคนอื่นๆ ถ้าทำแบบนั้นผมก็จะเป็นเด็กอยู่ดี ทุกวันนี้ถ้าคุณต้องการประสบความสำเร็จและมาอยู่ด้าน B คุณต้องเป็นคนที่มีความคิด อารมณ์ และคุณธรรมที่แข็งแกร่งอยู่ภายใน และคุณต้องมีไหวพริบ ฉลาด พ่อจนของผมเป็นคนที่หินหรือเขี้ยวมาก แต่ในทางด้านการเงิน เขาไม่มีไหวพริบเลย นั้นแหละทำไม เขาจึงถูกไล่ออกจากงานตอนอายุ 50 ปี เขาอ่อนแอลงเรื่อยๆ เขาต้องการงานของเขาคืนมา “กรุณาเถิดของานค่าจ้างสูงๆ ของผมคืนมา” และเมื่อผมพูดกับคนทั่วไปว่า ทุกวันนี้โลกของเราเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ถ้าคุณต้องการประสบความสำเร็จ จงมีความเข้มแข็งใฝ่หาความรู้ เพราะเป็นสิ่งที่ด้าน B ต้องมี สาเหตุที่ผมประสบความสำเร็จในธุรกิจของผมเองเพราะว่า เพราะผมไม่ยอมให้ใครมาผลักดันผม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ผมทำตัวเป็นเด็กๆ ผมเพียงแต่ไม่ยอมให้ใครผลักผมไปมา

      สิ่งที่ผมกำลังพูดกับคุณในวันนี้ เด็กชายเหล่านั้นในธุรกิจทั่วโลก ผมหมายถึงเด็กชายที่อยู่ถัดจากคุณนั้นแหละที่คุณเรียกว่า เจ้านาย ผู้บังคับบัญชา หัวหน้างาน คนที่อยู่ข้างหน้าคุณ แล้วก็คอยบอกคุณว่า คุณจะต้องดำเนินชีวิตคุณอย่างไรนั้นแหละ

      ดังนั้น ยิ่งคุณแสวงหางานที่มั่นคงมากเท่าไหร่ อิสรภาพของคุณก็น้อยลงเท่านั้น

      ผู้สัมภาษณ์: ผมคิดว่าคุณคงจะเห็นด้วยนะครับ ว่าทุกวันนี้ผมเห็นคนไปทำงานกันทุกวัน ขณะเดียวกันเขาก็จะพร่ำบ่นกับเพื่อนร่วมงานข้างๆ ว่าเขาเกลียด ใช่ครับ เขาเกลียดงานของเขา เขาเกลียด ที่ต้องจ่ายเงินภาษีให้กับรัฐ แล้วถ้าเป็นคุณ คุณจะพูดกับคนแบบนี้ว่าอย่างไรครับ?

      โรเบิร์ต: “คุณต้องตื่นได้แล้วเพื่อน” ผมเห็นคนในรายการทีวีพร่ำบ่นถึงการปลดคนออกจากงานประจำ ผมต้องการงาน ผมต้องการเงิน ถ้าคุณต้องการจริง ๆ คุณต้องตื่นได้แล้ว ยิ่งคุณต้องการมากเท่าไหร่ คุณก็จะได้มันมากเท่านั้น สิ่งที่สวยงามมากเกี่ยวกับการตลาดเครือข่ายก็คือว่า มันเป็นโอกาสของคุณ ที่คุณจะใช้เงินไม่กี่เหรียญประมาณว่าซัก 500 เหรียญคุณสามารถมีโอกาสในการสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง รักษางานประจำหรือธุรกิจส่วนตัวของคุณไว้ แต่ว่าต้องเข้มแข็งให้มากขึ้น ถ้าคุณต้องการประสบความสำเร็จในการตลาดเครือข่ายสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ผมขอแนะนำคือ จงอยู่ในธุรกิจนี้ให้นานอย่างน้อย 3, 4 หรือ 5 ปี เพราะสิ่งที่คุณจะได้รับคือ คุณได้รับความรู้ และความเข้มแข็งมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่าพ่อผมทั้ง 2 คนเป็นคนที่เข็มแข็ง และ ซื่อสัตย์ ปัญหาก็คือพ่อจนของผมไม่ได้รับการฝึกฝนในการเป็นเจ้าของกิจการ เขาไม่เคยมีทัศนคติที่จะออกมาอยู่ทางด้าน B พ่อจนของผมเป็นครูสอนหนังสือและถูกออกตอนอายุ 50 ปี เพราะว่าเขาออกมาลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐฮาวาย

      ถ้าคุณคิดว่าการเมืองเป็นเรื่องที่สวยงาม ใจดี มีความสุข ไม่ใช่แน่นอนมีคนที่มีอำนาจมากมายในวงการเมือง พ่อของผมลงสมัครรับเลือกตั้งแข่งกับเจ้านายของท่าน และเมื่อเจ้านายของท่านได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐ ท่านก็ไม่มีโอกาสได้กลับเข้าไปทำงานในราชการของรัฐฮาวายอีกเลย และพ่อผมก็ไม่เขี้ยวพอที่จะต่อสู้กับเขาได้

      สิ่งที่ผมกำลังพยายามอธิบายอยู่นี้ก็คือว่า ถ้าคุณต้องการประสบความสำเร็จในทุกวันนี้ การตลาดเครือข่ายเป็นทางเลือกที่ดีมากทางหนึ่ง แต่ไม่ใช่ว่าทุกบริษัท มีบางบริษัทที่เสนอให้คุณเข้าสู่ด้าน B ที่ดีที่สุดด้วย ระบบการถ่ายทอดความรู้ ทั้งด้านความคิด อารมณ์ และแก่นแท้ที่จะทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้นโดยไม่ต้องสนใจว่าใครจะคิด จะพูดอย่างไรเกี่ยวกับคุณอีกเลย คุณจะไม่ปล่อยให้ใครมาผลักคุณไปโน่นไปนี่อีกต่อไป นั้นแหละคือสิ่งที่ผมกำลังพยายามทำอยู่ แต่ถ้าคุณอ่อนแอในวันนี้ คุณก็จะสูญเสียอิสรภาพของคุณเอง ถ้าคุณอ่อนแอวันนี้คุณก็จะปล่อยให้คนอื่นกดดันคุณต่อไป “โอขอโทษน่ะท่าน ของานให้ผมทำต่อไปเถอะ ขอเงินเดือนผมขึ้นนะครับ ขอผมกลับก่อนสัก 2 ชั่วโมงได้ไหมครับ เพราะว่าลูกผมป่วย” ผมหมายถึง คุณจะยอมเป็นคนที่อ่อนแออย่างนั้นหรือ? คุณไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จมาอยู่ฝั่ง B ได้ ตราบใดก็ตามที่คุณยังคงขอคำอนุญาตทำโน่นทํานี่ตลอดเวลา แล้วคนอื่นๆ ที่เขาเห็นคุณ เขาจะคิดกับคุณอย่างไร?

      ไม่กี่วันก่อนผมต้องติดต่อเจรจาต่อรองกับชายคนหนึ่ง เขาพยายามผลักดันผมไปมาด้วยนักกฎหมายของเขา คุณรู้ไหมผม ผมคิดว่าผมไม่อาจยอมให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับผมเป็นอันขาด คุณไม่จำเป็นจะต้องไปถึงตะวันออกกลางเพื่อจะหาลูกปืนหรอกนะ มันอยู่ถัดไปจากตัวคุณนั้นแหละ คุณพบกับเหตุการณ์เหล่านี้ทุกวัน หัวหน้างานของคุณ เจ้านายของคุณ เพื่อนร่วมงานของคุณต้องการผลักดัน กดดันคุณไปมา

      แต่ว่าระบบการตลาดแบบเครือข่ายได้เสนอ การพัฒนาความคิด การฝึกอบรม ทั้งด้านจิตใจ จิตวิญญาณ ผมหมายถึง ความแข็งแกร่ง ความอดทน ถ้าคุณมีความอดทนเพียงพอ คุณสามารถยืนหยัดได้เช่นเดียวกับผู้ที่สามารถข้ามมาสู่ฝั่ง B เช่นกัน นั้นแหละที่ทำไมผมถึงพูดว่า มันเป็นโปรแกรมการฝึกอบรมที่เยี่ยมยอดมาก

      ผู้สัมภาษณ์: สิ่งหนึ่งที่คุณได้กล่าวถึงในหนังสือคือ เรื่องความใฝ่ฝัน ในความคิดเห็นของผม ผมคิดว่าใครก็ตามที่ทำงานประจำมานานถึง 15 ปี ความใฝ่ฝันก็อาจจะหมดไป ความฝันของเขาก็อาจะเป็นเพียงแค่จะพาลูกเขาไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์ปีหน้าเท่านั้น?

      โรเบิร์ต: ผมคิดว่าคนส่วนมากมีความใฝ่ฝัน แล้วก็ฝัน แต่มันไม่เคยเป็นจริง พ่อรวยของผมกล่าวว่าสิ่งที่ทำให้ความใฝ่ฝันของเราลดลงเพราะความเป็นจริง

      จริงๆ แล้วคุณอาจจะฝันถึงบ้านราคาหลายล้าน แต่ในความเป็นจริงคุณไม่มีมัน คุณอาจจะฝันถึงอะไรที่ยิ่งใหญ่ แต่ในความเป็นจริงคุณไม่เคยได้รับมันเลย อย่างไรก็ดีผมขอให้คนทุกคนกล้าที่จะฝัน แต่คุณอาจจะต้องมีการวางแผน มีระบบ มีกระบวนการที่ชัดเจนว่าคุณจะทำความฝันของคุณให้เป็นจริงได้อย่างไ

      ถ้าผมต้องการเริ่มต้น สร้างความฝันของผมใหม่ ผมคิดว่าผมจะเข้าสู่ระบบการตลาดเครือข่าย เพราะว่ามันดูมีเหตุมีผลดี มันเป็นระบบที่ถูกสร้างไว้เสร็จแล้วให้คุณ มีนักกฎหมายที่ดูแลเงื่อนไขต่าง ๆ ให้คุณ มีระบบบัญชีที่สมบูรณ์แบบ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณทั้งหลายคงจะเข้าใจ แต่ก็ไม่ใช่ทุกบริษัทนะครับ มันมีทั้งบริษัทเครือข่ายการตลาดที่ดี และไม่ดีเช่นกัน ขอให้เข้าใจด้วยนะครับ แน่นอนว่ามีคนไม่ดีในระบบการตลาดเครือข่ายด้วยเช่นกัน มันก็มีคนที่ดีและไม่ดีทั้งนั้นแหละครับในทุกๆ วงการ

      แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า สำหรับคนทั่วไปธุรกิจระบบการตลาดเครือข่ายให้โอกาสเขาในการที่จะควบคุมชีวิตของเขาเอง ที่เลวร้ายที่สุดถ้าคุณไม่ได้อยู่ในด้าน B คุณจะสูญเสียการควบคุมในสิ่งเหล่านี้นั้นคือ ค่าใช้จ่ายด้านภาษี เป็นค่าใช้จ่ายที่สูงที่สุด ภาษีสรรพากรจะบอกคุณว่าคุณต้องจ่ายเท่าไหร่และจ่ายเมื่อไหร่ แต่ถ้าคุณอยู่ด้าน B คุณสามารถควบคุมได้อย่างดี ผมกำลังพูดว่า “ไม่ว่าคุณจะต่อสู้เพื่ออะไร เราต่อสู้เพื่ออิสรภาพ เราต่อสู้เพื่อการมีทางเลือกมากกว่า ยิ่งคุณมีน้อยเท่าไหร่ อิสรภาพน้อยเท่าไหร่ คุณก็มีทางเลือกน้อยเท่านั้น”

      การก้าวสู่ด้าน B และ I ช่วยให้คุณมีทางเลือกมากขึ้น มีอิสรภาพมากขึ้น นั้นแหละคือเหตุที่ประเทศของเราถูกสร้างขึ้นมา และทุกๆแห่งในโลกก็ต้องการเช่นเดียวกัน อิสรภาพในการเลือก ผมพูดว่าพวกเด็ก ๆ ที่คอยกดดันคุณตลอดเวลา เหมือนอยู่ในกองทัพนั้นเป็นเรื่องน่ากลัวมาก มีผู้คนจำนวนมากที่คอยกดดันคุณทั้งทางด้านความคิดและอารมณ์ตลอดเวลา ถ้าคนที่นั่งข้างๆ คุณบอกคุณว่า แล้วทำไมต้องเป็นการตลาดเครือข่ายด้วย และถ้าคุณปล่อยให้คนเหล่านั้นมากดดันคุณ คุณก็คือ ผู้แพ้!

      และสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีเยี่ยมในธุรกิจการตลาดเครือข่ายก็คือ ถ้าคุณเข้มแข็งและอยู่นานเกิน 5 ถึง 10 ปี คุณจะกลายเป็นคนที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง ผมคิดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด สำคัญกว่าจำนวนเงินที่คุณหาได้จากการตลาดเครือข่ายเสียอีก นั้นก็คือ มันจะคืนการควบคุมชีวิตของคุณเอง ทางเลือกของคุณเองและเกียรติศักดิ์ศรีของคุณเอง ผมคิดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ประเมินค่ามิได้ในทุกวันนี้

      ผู้สัมภาษณ์: แล้วทำไมในช่วงสภาวการณ์เศรษฐกิจแบบนี้ อะไรเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้คนควรจะเริ่มต้นคิด ทำอะไรบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างออกไปจากที่เคยเป็นครับ

      โรเบิร์ต: เออ... สาเหตุที่ผมคิดว่าเราควรจะตื่นจากการหลับใหลกันได้แล้วในตอนนี้คือ ผมคิดว่าการพูดถึงงานที่มั่นคงเป็นเรื่องตลกมาก และสูตรเดิมที่ใช้ในการสร้างกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่เคยพูดกันว่ามั่นคงปลอดภัย และถ้าคุณคิดเช่นนั้น คุณก็คงจะเป็นคนที่เชื่อในเรื่อง กระต่ายอีสเตอร์และซานต้าคลอส ผมหมายถึงคุณอาจจะโกรธผม แต่คนที่ขายหุ้นให้คุณเขาต้องว่าดีแน่ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเสี่ยงเกินไปสำหรับอนาคตทางการเงินของคุณ และถ้าคุณคิดว่ามันต้องเป็นเช่นนั้น คุณกำลังพนันชีวิตของคุณกับการขึ้นและลงของตลาดหุ้น ผมหมายถึงคุณกำลังเอาอนาคตของการเกษียณอายุมาพนันเชียวนะ

      จะเกิดอะไรขึ้นถ้าตลาดหุ้นพุ่งสูงขึ้นและเกิดตกลงมาเมื่อคุณอายุ 85 ปีแล้ว คุณไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย ดังนั้นผมไม่ได้กำลังพูดว่ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพไม่ดีนะ ผมเพียงแต่พูดว่ามันไม่ปลอดภัย และไม่เป็นการฉลาดเลย ผมจะไม่เอาอนาคตทางการเงินของผมมาเป็นเดิมพันแน่นอน ผมมักจะพูดเสมอว่า ผมไม่เคยเห็นครั้งใดในประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้ ที่มีคนจำนวนมากเอาการวางแผนทางการเงินเมื่อเกษียณอายุมาเดิมพันในตลาดหุ้น

      นับว่าเป็นเรื่องที่เพี้ยน! เอาการ คุณคิดหรือว่าประกันสังคมจะคงอยู่ตลอดไปเพื่อคอยดูแลคุณ เท่ากับว่าคุณก็ต้องเชื่อในเรื่องกระต่ายอีสเตอร์เช่นกัน โปรแกรมค่ารักษาพยาบาล ซึ่งจะเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมากเมื่อเกษียณอายุ สิ่งที่คุณจะได้จะมีค่ายา ส่วนค่ารักษาพยาบาลซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่นั้นถ้าคุณมีเงินคุณก็มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ และถ้าคุณไม่มีเงินคุณก็ต้องตาย ซึ่งมันก็เกิดขึ้นแล้วในประเทศต่างๆ ทั่วโลก และมันก็กำลังจะเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาเช่นกัน เพราะว่ามีคนจำนวนมากที่อ่อนแอและไม่มีประสิทธิภาพ คอยแต่คาดหวัง ความช่วยเหลือจากรัฐบาลหรือบริษัทให้ช่วยดูแลพวกเขา ผมขอพูดว่า ถึงเวลาต้องตื่นขึ้นได้แล้ว ถ้าสิ่งที่ผมพูดมันฟังไม่หวานหู หยาบคาย แต่นั้นแหละคือโลกที่ผมเห็นอยู่ในขณะนี้ คุณต้องเข้มแข็งขึ้น และฉลาดขึ้นได้แล้ว นั้นคือสิ่งที่ผมขอแนะนำ นั้นคือสิ่งที่ผมเห็นว่าการตลาดเครือข่ายได้ช่วยเหลือคนจำนวนมากให้ได้รับโอกาส การจัดการด้านการเงินแก่ตัวเขาเอง

      ผู้สัมภาษณ์: ถ้าเช่นนั้นแล้วทำไมทุกคนไม่ออกไปเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองซะล่ะครับ

      โรเบิร์ต: ผมคิดว่านั้นแหละคือหัวข้อที่ผมกำลังพูดถึงอยู่ มันคือ ความกลัว คุณรู้ไหมผมก็มีความกลัวอยู่ในตัวผมเช่นกัน ผมรู้จักคนๆนั้นดีที่สุด คนที่ผมรู้จักตอนที่ผมไปรบที่เวียดนาม ผมต้องต่อสู้กับคนที่มีความกล้ากับคนที่มีความหวาดกลัว มันเป็นสงครามที่เราทุกคนต้องเผชิญหน้ากับมันในตัวของเราเองและบ่อยครั้งที่คนขี้ขลาดก็มักจะถามจากคนขี้ขลาด แล้วเขาก็พูดคุยกัน คนหนึ่งอาจถามว่า “คุณทำอย่างนั้นทำไมนะ?” อีกคนก็จะตอบว่า “ก็เพราะผมถูกกดดันจากคนอื่นนะซิ จึงกลายเป็นความขลาด ความหวาดกลัว”

      สิ่งหนึ่งซึ่งทำให้ผมออกจากโรงเรียนเพราะเหตุผลสำคัญคือ มีครูคนหนึ่งบอกผมว่า
      “ถ้าเธอไม่ทำคะแนนสอบไล่ให้ได้ดีๆ เธอก็จะไม่ได้งานทำดีๆ”

      แล้วผมก็ลุกยืนขึ้นพร้อมกับพูดว่า “ดี! ผมไม่ต้องการได้งานทำ” ครูผมถึงกับสะอึก “เธอนี่ช่างเป็นเด็กที่โง่เง่าจริงๆ นะ” ผมก็ต่อไปอีกว่า “ผมไม่ต้องการหางานทำ อะไรคือปัญหาเหรอครับ?”

      ประเด็นก็คือว่า ผมต้องการทดสอบความสามารถของผมในการไม่ยอมถูกกดดัน ไม่ยอมให้ถูกผลักดันไปมา และผมคิดว่า ถ้ามีใครถามผมว่า อะไรทำให้ผมรวย อะไรคือคุณสมบัติอันดับหนึ่งที่ทำให้ผมร่ำรวย นั้นก็คือ ผมมีความกล้าที่จะลุกขึ้นยืนต่อสู้กับสิ่งที่ผมคิดว่าถูกต้องกับตัวผม ผมไม่ได้บอกว่าจะถูกต้องกับทุกคนน่ะครับ ผมเพียงแต่ไม่ต้องการหางานทำ ผมไม่ต้องการเป็นลูกจ้าง คุณครูพูดว่า “ผมต้องเป็นลูกจ้างคนหนึ่ง” ผมบอกว่า “ไม่! คุณนั่นแหละที่ต้องเป็นลูกจ้าง” แล้วผมก็พูดต่อว่า “ผมไม่สนใจกับเกรดดีๆเลย ถ้าอย่างงั้นแล้วทำไมนายธนาคารยังคงต้องการรายงานสถานะการทางการเงินของผมอยู่ดี นายธนาคารถามผมเรื่องอะไร เขาถามหารายงานการเงินของผม” “แล้วทำไมคุณไม่สอนผมเกี่ยวกับรายงานด้านการเงินล่ะ” แล้วครูก็ “เออ....เออ.....เออ....”

      ประเด็นอยู่ตรงที่ว่า ทุกวันนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้คุณต้องเขามาทำธุรกิจเพราะคุณต้องการเกียรติศักดิ์ศรีของคุณคืนมา คุณต้องการควบคุมชีวิตคุณเอง คุณต้องมีความสามารถในการรวบรวมความกล้า ที่จะไม่สนใจให้ใครมาผลักดันคุณไปมาอีกต่อไป คุณต้องเริ่มต้นคิดด้วยตัวคุณเอง

      ผู้สัมภาษณ์: คุณได้กล่าวถึงการตลาดเครือข่ายว่าเป็น แฟรนไชน์ส่วนบุคคล ขอให้คุณช่วยอธิบายได้หรือไม่ว่าคุณหมายความว่าอะไร?

      โรเบิร์ต: ก่อนอื่นผมขอเล่าให้คุณฟังถึงระบบแฟรนไชน์ก่อนน่ะครับ พ่อของผมถูกไล่ออกเมื่อตอนอายุ 50 ปี ซึ่งก็เป็นเหตุจูงใจอันหนึ่งเช่นกันสำหรับผม ถ้าคุณเห็นพ่อของคุณถูกให้ออกจากงาน ถูกเข้าชื่อในบัญชีดำโดยคนที่มีอำนาจเหนือคุณแล้วล่ะก็ ผมว่ามันคงจะทำให้ความคิดคุณเปลี่ยนแน่นอน พ่อผมเอาเงินจากการเกษียณอายุมาลงทุน ขาดทุนในธุรกิจแฟรนไชน์ เป็นธุรกิจไอศกรีม ผมไม่ขอกล่าวชื่อก็แล้วกัน เป็นธุรกิจไอศกรีมแฟรนไชน์ที่มีชื่อเสียงจนถึงปัจจุบัน แล้วพ่อผมก็สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปกับธุรกิจนั้น รู้ไหมระบบแฟรนไชน์ไม่สามารถปกป้องคุณได้ถ้าคุณเองไม่มีความคิด จิตใจ อารมณ์ที่เข้มแข็งที่จะยืนหยัดในโลกด้าน B ในขณะที่การตลาดเครือข่าย คือ ธุรกิจแฟรนไชน์ส่วนบุคคล แต่อันดับแรกคุณต้องเป็นคนที่เข้มแข็ง ผมเรียกด้าน B ว่า “กังโฮ” เป็นอีกคำหนึ่ง หรืออีกด้านหนึ่ง ถ้าคุณอยู่ในด้าน B คุณจะคาดหวังว่าจะมีคนอื่นๆ มาปกป้องคุณ “โอ้เจ้านายจะปกป้องฉัน หัวหน้าจะปกป้องฉัน ใช่ไหม” แต่การที่คุณจะก้าวมาสู่ด้าน B ก้าวสู่โลกของปลาฉลาม หมีตัวใหญ่ กอลิล่ายักษ์นั่นแหละที่ผมเรียกว่า กังโฮ เพราะถ้าคุณไม่ประสบความสำเร็จในด้าน B คุณก็จะ “ต่อย...” (เสียงต่อย) คุณก็จะหลุดไป “เอาตื่นๆๆ ไปได้แล้ว บ้าย...บาย” ในด้าน B ไม่มีคำว่า “ยุติธรรม” ไม่มีคำว่า “เสมอภาค” ต่อให้คุณพูดว่า ผมยอมให้ตัดเงินของผม โยนผมลงไปในมหาสมุทร ผมจะสวดมนต์อ้อนวอน ผมทำเกรดได้ดีตอนอยู่ที่โรงเรียนนะ ผมเป็นคนดี ปลาฉลามก็ยังคงกินคุณอยู่ดี ไม่มีอะไรมาปกป้องคุณได้

      สำหรับเราแล้วด้าน B ก็คือ การทำให้ตัวเข้มแข็งขึ้น ทั้งด้านความคิดจิตใจ อารมณ์ และจิตวิญญาณ และนั่นแหละคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ผู้ซื้อสิทธิ์แฟรนไชน์พึ่งมี ดังนั้นในองค์กรการตลาดเครือข่ายที่มีคุณค่าจะพยายาม อย่างสุดความสามารถที่จะทำให้คุณเข้มแข็ง ยืนหยัดอยู่ในด้าน B ซึ่งจะทำให้คุณยืนอยู่บนเท้าทั้งสองข้างของคุณเอง

      ผู้สัมภาษณ์: คุณพูดในหนังสือว่าการตลาดเครือข่ายเป็นการเล่นในระดับภาคสนาม คุณหมายความว่าอย่างไรครับ?

      โรเบิร์ต: ผมตระหนักดีว่าการเล่นในระดับภาคสนามเป็นอย่างไร เมื่อตอนที่ผมทำงานให้กับบริษัท ซีร๊อกซ์ คอร์ปอเรชั่น เป็นเพราะว่าผมไม่มีวุฒิการศึกษาปริญญาโทด้านการบริหารหรือ MBA ที่เราเรียกกัน เขาจึงไม่อยากเลื่อนตำแหน่งให้ผม มันช่างน่าตลกไหมหล่ะ ผมเป็นเบอร์หนึ่งด้านการขายเป็นเพราะผมเล่นเกมส์ไม่เป็น พ่อรวยเคยบอกว่า “ถ้าเราพยายามปีนไต่บันไดตามขั้นตำแหน่งในองกรใดๆแล้วล่ะก็ ปัญหาก็คือ วิวทิวทัศน์จะไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย” เพราะเมื่อใดที่คุณแหงนหน้ามองขึ้นไปจะพบตูดใหญ่ๆอยู่เหนือหัวคุณ และอีตาคนนั้นก็ไม่มีทางเคลื่อนตัวได้เร็วด้วย อีกทั้งคุณก็ไม่อาจแซงเขาไปได้ เพราะยังคงมีตูดอีกมากมายอยู่เหนือขึ้นไปอีก ไม่ว่าคุณจะเก่งมากขนาดไหนด้านการขาย มันก็ไม่มีวันแตกต่างไปได้ คุณยังต้องเข้าแถวตามตูดใหญ่ๆ เมื่อผมมองไปก็พบว่านี่ไม่ใช่แบบที่ผมต้องการ

      แต่ในการตลาดเครือข่ายคุณได้รับผลตอบแทนตามผลงานของคุณ แต่ถ้าคุณไม่มีผลงานคุณก็จะไม่ได้ผลตอบแทนเช่นกัน แต่ถ้าคุณไม่ชอบแบบนี้ ธุรกิจนี้ก็คงไม่เหมาะกับคุณ แต่ว่ามันเกี่ยวข้องกับผลงานจริงๆ คุณรู้ไหมเราเรียกกันว่าพูดด้วยเงินทุกอย่างจะเดินตามมาเอง นั้นแหละทำไมการตลาดเครือข่ายจึงมีมากมาย มันไม่ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะจบอะไรมา ไม่เกี่ยวกับว่าคุณจะมาจากครอบครัวประเภทไหน คุณดูดีมีเสน่ห์หรือไม่ ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ ผู้คนมีการเลือกที่รักมักที่ชังเสมอ เราก็รู้ดีว่าถ้าคุณสวยคุณก็มีโอกาสมาก ถ้าคุณน่าเกียจคุณก็มีโอกาสน้อย แต่ธุรกิจนี้มันไม่เกี่ยว มันเกี่ยวกับผลงานเท่านั้น เงินเป็นตัวพูด ทุกอย่างจะเดินตามมาเอง และถ้าคุณยอมรับวิธีนี้ไม่ได้ธุรกิจนี้ก็ไม่เหมาะกับคุณ

      ผมชอบการแข่งขัน บางคนเกลียดแต่ผมชอบนะ ผมต้องการเป็นอะไรที่ดีที่สุด ไม่ใช่ว่าผมต้องการอัดกับใครนะ แต่ผมมองคู่แข่งหรือคนอื่นๆ เป็นสิ่งที่ช่วยให้ผมพยายามทำให้ดีขึ้นและในการตลาดเครือข่ายที่สำคัญก็คือ พวกเขาต้องการให้คนพัฒนาขึ้น แต่ในโลกธุรกิจทั่วไป ไม่มีใครต้องการให้คุณดีขึ้น เพราะถ้าคุณดีขึ้น มันจะทำให้งานของเขาคลอนแคลน มันเป็นบรรยากาศที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แล้วอะไรเป็นสิ่งที่ปกติสำหรับคนบางคนล่ะ นั้นคือการเล่นอย่างปลอดภัยไง ค่อยๆปีนไปตามบันไดองค์กร แล้วก็รอจนถึงตาคุณ แต่นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ปกติสำหรับผมนะ

      ผู้สัมภาษณ์: คุณมีอะไรจะเสริมอีกไหมครับ สำหรับผู้ที่กำลังฟังเทปของคุณอยู่ในขณะนี้

      โรเบิร์ต: ผมขอพูดว่าเปิดโอกาสให้อิสรภาพดีไหม ให้โอกาสมัน เปิดใจให้กว้าง อย่าฟังเพื่อนของคุณ ผู้ซึ่งมีแต่ความหวาดกลัว อ่อนแอ สิ่งที่ดีที่สุดที่ผมมีคือ ผมมีเพื่อนที่คอยให้กำลังใจผมพวกเขาต้องการให้ผมร่ำรวย พวกเขาคอยให้กำลังใจผม ก้าวสู่ความร่ำรวยยิ่งๆขึ้น ในครอบครัวพ่อจนของผม มีแต่คนเรียนสูงๆ ระดับปริญญาเอกหลายคน พวกเขามีทัศนคติที่แย่มากๆ เกี่ยวกับเรื่องเงิน ทัศนคติแย่จริงๆครับ ผมไม่ต้องการเป็นแบบพวกเขา คนรวยจะไม่ดูถูกคนอื่น ผมไม่ค่อยชอบแนวของเพื่อนพ่อผมคนหนึ่ง เขาคอยแต่จะทำให้คนอื่นอ่อนแอ คุณต้องหางานที่มั่นคง คุณต้องเล่นด้วยความปลอดภัย อย่าเสี่ยง เขาจะสวดภาวนาบนความหวาดกลัว แทนที่จะช่วยให้คุณหลุดพ้นความหวาดกลัว สิ่งที่ดีที่สุดที่ผมได้รับจากการไปรบในสงครามเวียดนามคือ ผมได้เรียนรู้การควบคุมความหวาดกลัว แทนที่ผมจะยอมให้คนขี้ขลาดชนะ ผมคิดว่าในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงใบนี้ โลกที่ปกติคือความผิดปกติ คนที่มีอำนาจเหนือคุณอยู่ใกล้ๆ คุณทั่วไปหมด ผมคิดว่าคุณต้องมีความกล้าแล้วในวันนี้ นั่นแหละที่ผมคิดว่าการตลาดเครือข่ายสามารถให้แก่คุณได้

      ผู้สัมภาษณ์: คำถามสุดท้ายนะครับ คุณคิดว่าการตลาดเครือข่ายเป็นธุรกิจในด้าน B ที่มีความสมบูรณ์แบบหรือไม่?

      โรเบิร์ต: ใช่ สำหรับบางคน แต่ไม่ใช่ทุกคน เหมือนกับถ้าผมพูดว่าการเป็นคนรวยนั้นง่ายมาก ดังนั้นทุกคนต้องรวย คุณต้องค้นหาให้พบจากหัวใจ จากวิญญาณ จากจิตใต้สำนึกของคุณเอง นั้นแหละที่ว่าทำไมหลายคนจึงถามผมว่า “อะไรคือสิ่งที่ทำให้ผมร่ำรวย” นั้นคือ ผมไม่ต้องการให้ใครมาบอกผมว่า ผมต้องทำอะไร ผมต้องการอิสรภาพของผมอย่างหมดหัวใจ ผมไม่ต้องการงานที่มั่นคง ผมต้องการอิสรภาพด้านการเงิน นั้นเป็นสิ่งที่ผมปรารถนา เผาผลาญอยู่ในจิตใต้สำนึกผมตลอดเวลา

      เหมือนกับทุกวันนี้ถ้ามีใครบางคนมาบอกผมว่าผมต้องทำอะไร ผมจะโกรธมากถ้าคุณชอบให้ใครมาบอกคุณว่า คุณจะทำงานได้เงินเดือนเท่าไหร่? คุณจะได้งานทำหรือไม่? เมื่อไหร่ต้องมาทำงาน ดังนั้นการตลาดเครือข่ายไม่เหมาะสำหรับคุณ มันไม่ใช่จริงๆ แต่สำหรับผมแล้วผมเกียจมาก ผมได้เคยลองทดสอบทำแบบนั้นดูแล้ว ผมต้องการอิสรภาพของผมอย่างมาก นั้นแหละทำไมผมถึงไปรบที่เวียดนาม และผมก็คิดว่านั้นแหละทำไมเราถึงต้องต่อสู่ในวันนี้ อิสรภาพในทางเลือกของเรา ที่จะอยู่ จะคิด จะทำ เลือกรูปแบบการดำเนินชีวิตของเราเอง นั่นแหละที่การตลาดเครือข่ายมีให้กับคุณทุกๆคน

      นั่นคือความปรารถนาดีอย่างจริงใจ ถ้าคุณชอบเทปบันทึกการสัมภาษณ์ผู้แต่งหนังสือขายดี นักธุรกิจเงินล้าน ผู้บรรยายด้านการเงิน Robert Kiyosaki

      0 ความคิดเห็น:

      Post a Comment